ใครที่ชื่นชอบการตกแต่งคอนโด จะสังเกตเทรนด์การตกแต่งคอนโดได้ว่า “เทรนด์มินิมอล” กำลังมาแรงเป็นอย่างมาก วัยรุ่น วัยทำงาน จะชื่นชอบเป็นพิเศษ เนื่องจากการตกแต่งห้องสไตล์มินิมอล เป็นการแต่งห้องที่ทำให้ห้องดูกว้าง ดูสะอาดตา อากาศถ่ายเทสะดวก แถมยังเป็นสไตล์การแต่งห้องที่สร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้กับผู้อยู่อาศัยได้ดีอีกด้วย
เมื่อต้องการแต่งห้องสไตล์มินิมอล สิ่งสำคัญของการแต่งห้องนอกจากเรื่องของแสง เฟอร์นิเจอร์ หรือของตกแต่งต่างๆ ที่ต้องเน้นสีเอิร์ธโทนเป็นหลักแล้ว พื้นห้องก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องห้ามมองข้าม โดยส่วนใหญ่แล้วพื้นห้องสไตล์มินิมอลจะนิยมใช้เป็น “พื้นไม้” เพราะมีโทนสีที่อ่อน เมื่อทำการตกแต่งห้องด้วยเฟอร์นิเจอร์จะขนาดหรือแบบไหนก็ตาม ห้องก็จะออกมาสวยงามดูมินิมอลลงตัว
สำหรับการเลือกพื้นไม้ให้คอนโดใช่ว่าจะเลือกจากความสวยงามเท่านั้น คุณจะต้องดูด้วยว่าพื้นไม้ที่คุณต้องการปูพื้นห้อง มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมหรือไม่ ถ้าเลือกพื้นไม้ที่ไม่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมคอนโด อาจจะทำให้เกิดการชำรุดเสียหายง่ายนั่นเอง
ในส่วนของ “พื้นไม้” ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ในแต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติ มีข้อดี ข้อเสีย ที่แตกต่างกันดังนี้
เปรียบเทียบความแตกต่างของพื้นไม้แต่ละชนิด
พื้นไม้จริง (Solid Wood Floor)
เป็นพื้นไม้ที่ได้รับความนิยมมายาวนาน เนื่องจากมีความแข็งแรงทนทาน ให้ความรู้สึกที่อบอุ่น โรแมนติก และผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เพราะไม้จริงเป็นไม้ที่ได้มาจากธรรมชาติ ดังนั้น พื้นไม้ชนิดนี้จะค่อนข้างหายาก จึงมีราคาที่สูงมากกว่าพื้นไม้แบบอื่นๆ
ในส่วนของพื้นไม้จริง ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย คือ
- ไม้มะค่า เป็นไม้ที่มีความแข็งแรงมากๆ มีลวดลายที่สวยงามโดดเด่น นิยมใช้ทำบันได หรือโครงสร้างของบ้าน
- ไม้สัก เป็นไม้ที่มีเนื้อละเอียด มีเนื้อนิ่ม ความแข็งแรงจะอยู่ในระดับปานกลาง มีการบิดงอที่ค่อนข้างยาก ปลวกไม่กิน จึงนิยมนำมาใช้ทำพวกเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ ฯลฯ
- ไม้ประดู่ เป็นไม้ที่มีเนื้อคล้ายกับไม้สัก เนื้อไม้จะค่อนข้างมัน มีลวดลายสวยงาม เนื้อค่อนข้างแน่น มีความแข็งแรงระดับกลาง นิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
ข้อดี | ข้อเสีย |
มีความแข็งแรงและความคงทน | ไม่สามารถใช้งานกลางแจ้ง หรือใช้งานในบริเวณที่มีความชื้นได้ เพราะมีการยืดหดตามสภาพอากาศ |
ใช้งานได้ยาวนาน | ค่อนข้างหายาก จึงมีราคาที่ค่อนข้างสูง |
เป็นไม้ที่จะขัดสีกี่ครั้งก็ตาม ก็ยังให้ความสวยงามอยู่เสมอ | ดูแลรักษาค่อนข้างยาก เกิดรอยขีดข่วนง่าย |
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Floor)
อีกหนึ่งพื้นไม้ที่ค่อนข้างได้รับความนิยมมากๆ เนื่องจากว่าพื้นไม้เอ็นจิเนียร์เป็นการนำไม้จริงที่มีแผ่นบางๆ มาวางซ้อนทับกันให้มีความหนาประมาณ 3 มิลลิเมตร ดังนั้น พื้นไม้เอ็นจิเนียร์จึงมีความแข็งแรง และความสวยงามที่ไม่แตกต่างกับพื้นไม้จริงเลย
ข้อดี | ข้อเสีย |
มีหลากหลายราคา | ราคาค่อนข้างสูง เพราะมีการใช้ไม้จริงมาผลิต |
ติดตั้งง่าย | ไม่ป้องกันปลวก |
ให้ความรู้สึกเหมือนใช้ไม้จริง | เมื่อใช้งานไปนานๆ แล้วทำการขัดสีจะไม่สวยเหมือนไม้จริง |
พื้นไม้ปาร์เกต์ (Parquet Wood Floor)
สำหรับพื้นไม้ปาร์เกต์ ก็คือพื้นไม้จริงที่มีขนาดเล็ก ซึ่งได้จากการตัดไม้ออกเป็นท่อนๆ ไม้ปาร์เกต์มีหลากหลายราคาให้เลือกซื้อ ราคาของไม้จะถูกหรือแพงก็ขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของเนื้อไม้
ข้อดี | ข้อเสีย |
มีให้เลือกหลายราคา | ไวต่อความชื้น |
มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน | ผิวหน้าเป็นรอยขีดข่วนง่าย |
ถึงแม้ว่าจะใช้งานนานแค่ไหน เมื่อทำการขัดทำสีก็จะยังคงสวยงามเสมอ | ใช้เวลาในการติดตั้ง |
พื้นไม้ลามิเนต (Laminate Wood Floor)
เป็นพื้นไม้ที่มีการผสมผสานระหว่างไม้เนื้อแข็งที่ผ่านการย่อยเป็นผงและสารสังเคราะห์ จะให้สัมผัสที่เหมือนกับไม้จริงแต่มีราคาที่ถูกกว่า
ข้อดี | ข้อเสีย |
ราคาค่อนข้างถูก | ไวต่อความชื้น |
ติดตั้งง่าย | ไม่ทนต่อปลวก |
ค่าบำรุงรักษาไม่แพง | ผิวหน้าเป็นรอยขีดข่วนง่าย |
พื้นไม้ไวนิล (Vinyl Wood Floor)
พื้นไม้ไวนิลผลิตมาจาก PVC ทั้งหมด 100% เป็นพื้นไม้ที่แตกต่างจากพื้นไม้ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากไม่มีส่วนผสมจากไม้จริง ทำให้พื้นไม้ชนิดนี้มีน้ำหนักที่เบา นิยมนำมาปูพื้นคอนโด
ข้อดี | ข้อเสีย |
มีน้ำหนักเบา | ติดตั้งยาก |
เป็นพื้นไม้ที่ปลวกไม่ชอบ | ผิวหน้าเป็นรอยขีดข่วนง่าย |
ทำความสะอาดง่าย | ไม่ทนต่ออากาศชื้น เกิดเชื้อราค่อนข้างง่าย |
เพื่อให้พื้นไม้แข็งแรงทนทาน ดูสวยงามตลอดเวลา ต้องหมั่นดูแลความสะอาดอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการลากโต๊ะ ลากเก้าอี้ เพราะพื้นไม้อาจจะเป็นรอยได้ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความชื้น เพียงเท่านี้คุณก็จะได้พื้นไม้ที่ดูเหมือนใหม่ตลอดเวลาแล้ว